Performance marketing คืออะไร ? สรุปง่ายๆ เข้าใจได้

performance-marketing-คือ-cover

Performance Marketing คำนี้อาจคุ้นหูหรือผ่านตาหลาย ๆ คนในโลกออนไลน์มาบ้าง และอาจจะยังใหม่มากสำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลีกับวงการการตลาด แต่ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องยากที่ทุกคนจะทำความเข้าใจ

เนื่องจากการทำ Performance Marketing การตลาดเชิงประสิทธิภาพ มีขั้นตอนที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบแคมเปญ โดยเริ่มจากวางแผนเป้าหมาย เลือกช่องทางที่จะทำ Performance Marketing จัดเตรียมสื่อที่จะใช้ ติดตามผลตลอดการทำแคมเปญ และปิดท้ายด้วยการวัดผลลัพธ์ที่ธุรกิจได้รับจากการทำการตลาดเชิงประสิทธิภาพนี้

อ่านแค่ย่อหน้าข้างบนยังรู้สึกได้ถึงความมีระบบ แม่นยำ และคุ้มทุนเลยใช่ไหม? เราไปเรียนรู้ข้อมูลแต่ละจุดให้ลึกกว่าเดิมในแบบฉบับที่เข้าใจง่าย ซึ่งเราสรุปข้อมูลเกี่ยวกับ Performance Marketing ไว้ให้ในหัวข้อถัดไปแล้ว

Table of Contents

performance-marketing-คือ

Performance Marketing คืออะไร?

Performance Marketing คือ การทำการตลาดบนโลกออนไลน์ โดยธุรกิจนั้น ๆ จ่ายเงินค่าโฆษณาให้กับแพลตฟอร์ม เว็บไซต์ หรือช่องทางที่เลือกตามผลลัพธ์ที่ได้จริง เช่น เกิดยอดขายเพิ่มขึ้น มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น มีผู้กรอก Lead ตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งจะวัดผลลัพธ์โดย Metrics ต่าง ๆ อย่าง ROI (Return on Investment), ROAS (Return on Advertising Spend) หรือสูตรชี้วัดอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับว่านักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจต้องการดูผลลัพธ์ด้านไหนของแคมเปญ

หากเปรียบเทียบ ‘ความแตกต่าง’ กับการตลาดรูปแบบอื่น ๆ ที่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า และบางครั้งอาจจ่ายไปกว่าหลายล้านเพื่อทำการตลาดแต่ละรูปแบบทั้งที่ยังไม่เห็น Conversion การตลาดเชิงประสิทธิภาพจะให้คุณจ่ายก็ต่อเมื่อได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และจุดที่แตกต่างอีกจุดคือธุรกิจของคุณสามารถทำการตลาดหลากหลายวิธีได้ภายใต้ Performance Marketing ดังนี้

Branding Marketing

ถ้าแบรนด์ของคุณกำลังถึงจุดอิ่มตัว แต่ก็ยังต้องการทำให้แบรนด์โดดเด่นในตลาด การตลาดเชิงประสิทธิภาพช่วยคุณได้! เพราะมีหลายวิธีที่สามารถเพิ่ม Brand Awareness เช่น แคมเปญ Social Media, Native Ads หรือ Content Marketing โดยเจาะจงไปที่กลุ่มเป้าหมาย หา Pain point หรือจุดประกายความสนใจให้ทำเกิด Action บางอย่าง จนเกิดการจดจำว่าแบรนด์นี้เติมเต็มความต้องการพวกเขาได้

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การตลาดเชิงประสิทธิภาพ เนื่องจากวัดผลได้ แล้วค่อยจ่ายเงินตาม Action ที่เกิดขึ้น

Affiliate Marketing

คือส่วนย่อยที่ชัดเจนที่สุดของ Performance Marketing เพราะขับเคลื่อนด้วย Metrics และเป้าหมาย ซึ่งทำได้โดยการให้ Influencer หรือ Blogger ช่วยโปรโมตสินค้าหรือบริการ และสร้าง Call to Action ให้เกิดขึ้นตามที่ธุรกิจนั้น ๆ ต้องการ เช่น เข้าชม คลิก สั่งซื้อสินค้าที่เว็บไซต์หลัก แล้วธุรกิจก็จ่ายเงินให้กับผู้โปรโมต

Programmatic Marketing

การตลาดรูปแบบนี้คือองค์ประกอบสำคัญของ Performance Marketing เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้ซื้อพื้นที่โฆษณา เลือกกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องที่สุด แต่จ่ายเงินในราคาที่ดีที่สุดและเกิด ROI ที่สูงที่สุด

ข้อดีอีกอย่างคือการตลาดรูปแบบนี้สามารถวิเคราะห์และรายงานข้อมูลเชิงลึกได้ ทำให้ผู้ลงโฆษณาเห็นประสิทธิภาพของโฆษณา และหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างถูกทาง

performance-marketing-ประโยชน์

ประโยชน์ของการตลาดเชิงประสิทธิภาพ

ทุกคนคงจะร้อง “อ๋อ…” กับหัวข้อก่อนหน้าสำหรับคอนเซปต์ของ Performance Marketing กันแล้ว ในหัวข้อนี้เราเลยจะพาทุกคนไปเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ต่าง ๆ ที่ธุรกิจจะได้รับจากการทำการตลาดเชิงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความอยากรู้ อยากลองเปิดประสบการณ์ทำการตลาดวิธีนี้สักครั้ง

1. วางแผนงบประมาณได้ดีขึ้น

การตลาดวิธีนี้ช่วยให้แต่ละธุรกิจวางแผนงบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากแต่ละแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ที่จะไปลงโฆษณานั้น สามารถกำหนดงบได้ ซึ่งดีต่อธุรกิจทั้งขนาดเล็กและใหญ่ เพราะได้จ่ายเงินไปตามผลลัพธ์ที่ต้องการและลดปัญหาการใช้เงินเกินงบ

2. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแม่นยำกว่า

ลืมได้เลยว่าเคยหว่านแหหากลุ่มเป้าหมาย เพราะแพลตฟอร์มที่ใช้ทำการตลาดรูปแบบนี้ มีเครื่องมือที่กำหนดได้อย่างละเอียดว่าต้องการกลุ่มเป้าหมายแบบไหน โดยเลือกจากอายุ เพศ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน ความสนใจ เป็นต้น ทำให้ธุรกิจนั้น ๆ สามารถยิงโฆษณาที่เสนอสินค้าหรือบริการตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ

3. ปรับแก้ เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ได้แบบ Real Time

ด้วยความที่การตลาดรูปแบบนี้ทำผ่านช่องทางออนไลน์และดูผลลัพธ์ได้ตลอดแคมเปญ ทำให้แต่ละธุรกิจเห็นว่าโฆษณาที่กำลังนำเสนออยู่นั้นผลลัพธ์เป็นอย่างไร หากอยากเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นก็สามารถปรับแก้ได้ หรือหากเจอจุดผิดพลาด อยากหยุดทำแคมเปญ ก็ทำได้ทันทีเช่นกัน

4. ติดตามและวัดผลลัพธ์ได้

ประโยชน์ข้อสุดท้ายคือสิ่งที่ทำให้หลายธุรกิจหันมาทำการตลาดวิธีนี้ เพราะวัดผลลัพธ์หลังจบแคมเปญได้ว่าเป็นไปตามเป้าหมายและงบที่วางไว้หรือไม่ เช่น แบรนด์ A ต้องการคนกรอก Lead จำนวน 2,000 คน ก็มาวัดผลกันต่อว่าได้ตามที่ต้องการไหม ราคาที่ต้องจ่ายต่อผลลัพธ์ถูกหรือแพงไป

การวัด-performance-marketing

วิธีวัดประสิทธิภาพ

แน่นอนว่าการตลาดรูปแบบนี้โฟกัสที่ ROI (Return on Investment) เพราะฉะนั้นทุก Action ที่เกิดขึ้นในแคมเปญจะถูกวิเคราะห์ด้วย Metrics (ตัวชี้วัด) และนำผลมาเปรียบเทียบกับ KPI ที่ตั้งไว้ โดย Metrics ที่นิยมใช้มีดังนี้

CPM (Cost Per Mille)

เรียกอีกอย่างได้ว่า Cost Per Thousand วิธีนี้จะทำให้นักการตลาดรู้ราคาที่ต้องจ่าย เมื่อโฆษณาแสดงผลทุก ๆ 1,000 ครั้ง โดยมีสูตรคำนวณตามนี้

CPM = (ต้นทุน x 1,000) / การแสดงผลทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น จ่ายเงินโฆษณาไป 20,000.- ได้การแสดงผล 300,000 ครั้ง ราคาที่ต้องจ่ายต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง = 66.66.-

ROAS (Return on Advertising Spend)

วิธีนี้ใช้วัดผลว่าค่าโฆษณาที่จ่ายไป ธุรกิจนั้น ๆ ได้กลับคืนมาเท่าไหร่? คำนวณได้ดังนี้
ROAS = รายรับจากโฆษณา / ต้นทุนโฆษณา
ตัวอย่างเช่น จ่ายค่าโฆษณา 100,000.- ได้ยอดกลับมา 500,000.- และ ROAS ก็คือ 5 เท่า หรือ 500%

CPC (Cost Per Click)

ใครอยากรู้ว่าต้นทุนที่ต้องจ่ายต่อการคลิกชมโฆษณา 1 ครั้งนั้นเท่าไหร่? คำนวณได้ตามนี้
CPC = ต้นทุนโฆษณา / จำนวนคลิก
ตัวอย่างเช่น ต้นทุน 10,000.- ได้การคลิกชมโฆษณา 20,000 ครั้ง CPC = 0.5.-

CVR (Conversion Rate)

โฆษณาที่เผยแพร่ไป เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายมาเป็นลูกค้ากี่เปอร์เซ็นต์? สูตรคำนวณนี้บอกคุณได้
CVR = (Conversions / จำนวนเยี่ยมชมทั้งหมด) x 100
ตัวอย่างเช่น มีคนเข้าดูสินค้า 3,000 คน แต่สั่งซื้อสินค้า 1,200 คน ดังนั้น CVR = 40%

CPA (Cost Per Acquisition)

ธุรกิจของคุณต้องจ่ายเงินเท่าไหร่กับทุก Action ที่เกิดบนโฆษณา เช่น คลิกชมสินค้า แชร์ต่อ หรือสั่งซื้อ? คำนวณได้ดังนี้
CPA = ต้นทุนโฆษณา / Conversion ทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น จ่ายค่าโฆษณา 50,000.- เพื่อให้คนสั่งซื้อสินค้ารุ่นล่าสุด และมีคนสั่งซื้อ 6,000 คน CPA = 8.33.-

5 ขั้นตอนที่ขาดไม่ได้! ในการทำ Performance Marketing

จาก 2 หัวข้อที่ผ่านมา ทุกคนคงได้เรียนรู้ความหมายของการตลาดเชิงประสิทธิภาพ ประโยชน์ที่ได้จากการทำการตลาดรูปแบบนี้ จนเห็นข้อดีว่ามันคุ้มค่าต่อธุรกิจแค่ไหน หากใครเริ่มมีใจ อยากศึกษาวิธีทำ ก็ไปดูขั้นตอนที่เราสรุปให้คุณอ่านง่าย ๆ ด้านล่างได้เลย

1. วางแผนและกำหนดเป้าหมายแคมเปญ

เริ่มจากกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ธุรกิจคุณต้องการให้ชัดเจนก่อนเริ่มทำแคมเปญ เช่น จะจ่ายเงินต่อเมื่อผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้ายินยอมกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนเพื่อจองบ้าน (Cost Per Lead) หรือจ่ายเงินเมื่อมีคนคลิกชมโฆษณาเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ (Cost Per Click)

2. เลือกช่องทางทำการตลาด

วิธีการเลือกช่องทางทำการตลาดแบบนี้ให้มีประสิทธิภาพที่สุด คือต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเรามีพฤติกรรมออนไลน์อย่างไร (Buyer Persona Research) เช่น ชอบไถ Facebook ลงรูปอวดไลฟ์สไตล์ใน Instagram ดู TikTok เป็นชั่วโมง หรือกดซื้อของใน Lazada เป็นประจำ เป็นต้น ซึ่งช่องทางที่ได้รับความนิยมมีดังนี้

  • Social Media Marketing เช่น โฆษณาบน Feed ของ Facebook หรือ Instagram
  • Affiliate Marketing คือการจ่ายเงินให้ Influencer หรือ Blogger ช่วยโปรโมตสินค้าหรือบริการของธุรกิจคุณ
  • Display Ads เช่น Banner หรือ Pop – up
  • Native Ads เช่น โฆษณาแฝงไปกับเนื้อหา พบได้ที่ส่วนท้ายของบทความ
  • Search Engine Marketing (SEM) เป็นการโฆษณารูปแบบข้อความ ต้องจ่ายเงินเพื่อให้ขึ้นอันดับแรก ๆ ใน Google เมื่อมีคนค้นหาเกี่ยวกับ Keyword ที่คุณซื้อ

3. เตรียมคอนเทนต์ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

เมื่อศึกษาพฤติกรรมออนไลน์ของกลุ่มเป้าหมายและเลือกช่องทางทำการตลาดได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าพวกเขามี Pain point อะไร แล้วสินค้าหรือบริการของธุรกิจคุณเติมเต็มอะไรให้เขาได้บ้าง จากนั้นจึงเริ่มทำคอนเทนต์ที่ตรงกับพฤติกรรมของพวกเขา อาจจะเป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอก็ได้ แล้วเลือกใช้คำรวมถึงเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่แรกเห็น จนพวกเขาต้องหยุดดูและทำ Action ตามที่คุณต้องการกับคอนเทนต์

4. ติดตามผลและหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพ

จากที่เกริ่นไปในหัวข้อที่ 2 ว่าสามารถติดตามและวิเคราะห์การทำงานของแคมเปญได้แบบ Real Time จึงทำให้คุณตรวจสอบได้ว่าระหว่างแคมเปญผลลัพธ์เป็นอย่างไร และมีวิธีไหนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำแคมเปญให้ดีขึ้นได้อีก ขั้นตอนนี้จึงเป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของคุณทำการตลาดได้คุ้มค่ากับงบที่ตั้งไว้

5. ประเมินผลลัพธ์และเรียนรู้ประโยชน์ที่ได้จากแคมเปญ

เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการทำแคมเปญแล้ว ก็ถึงเวลานำผลลัพธ์ที่ได้มาเปรียบเทียบว่าเป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ในตอนแรกหรือไม่ ค้นพบวิธีหรือทริคอะไรที่ทำให้แคมเปญนี้มีประสิทธิภาพ หรือเจอจุดบกพร่องตรงไหนแล้วต้องแก้ปัญหาอย่างไร ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แต่ละธุรกิจทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

สรุป

อ่านมาถึงตรงนี้คงเข้าใจกันแล้วว่า Performance Marketing คืออะไร ธุรกิจได้ประโยชน์ในด้านไหน ขั้นตอนการทำเป็นอย่างไร และถ้าใครอยากลองทำ แต่รู้สึกว่ายังเป็นมือใหม่ กลัวทำไปแล้วจะหลงทาง ทักหา Convert Cake ได้เลย เราคือ Performance Marketing Agency ที่เชี่ยวชาญการตลาดด้านนี้และร่วมงานกับธุรกิจมามากมาย ทั้งแบรนด์ไซส์เล็กไปจนถึงแบรนด์ใหญ่จากต่างประเทศ หากอยากพาธุรกิจไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็อย่ารอช้า ติดต่อเรามาเลย

Related Blogs

Recent Post