ในโลกของ Digital Marketing ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำศัพท์อย่าง SEO และ SEM มักสร้างความสับสนให้กับหลายธุรกิจที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงลูกค้าบนโลกออนไลน์ คุณอาจเคยได้ยินคำเหล่านี้มาบ้าง แต่อาจยังไม่แน่ใจว่า SEO คืออะไร? SEM คืออะไร? และทั้งสองอย่างนี้ ความแตกต่าง SEO SEM ที่แท้จริงคืออะไรกันแน่? ที่สำคัญกว่านั้นคือ คุณควรจะ เลือก SEO หรือ SEM ดี? สำหรับธุรกิจของคุณ
บทความนี้เขียนขึ้นโดย ConvertCake ซึ่งเป็น Performance Marketing Agency ในกรุงเทพฯ ที่ รับทำ SEO พร้อมประสบการณ์ด้านการตลาดออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2018 เราเข้าใจดีถึงความท้าทายที่ธุรกิจต่างๆ เผชิญในการนำทางสู่โลกดิจิทัลอันซับซ้อน บทความนี้มีเป้าหมายเพื่อไขข้อข้องใจทั้งหมดเกี่ยวกับ SEO และ SEM ช่วยให้คุณเข้าใจความหมาย ความเหมือน ความต่าง และวิธีการเลือกใช้กลยุทธ์ Digital Marketing ที่เหมาะสมเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตและเพิ่ม Conversion ให้กับธุรกิจของคุณ มาเริ่มต้นทำความเข้าใจเครื่องมือสำคัญเหล่านี้กันเลย
SEO คืออะไร?
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หรือที่เรียกว่า การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการปรับปรุงเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณ เพื่อให้มีอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาแบบ การค้นหาแบบออร์แกนิก (organic search) ของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการแสดงผล
เป้าหมายหลักของ SEO คือ การเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณในส่วนของผลการค้นหาที่ไม่ได้มาจากโฆษณา ซึ่งผู้ใช้งานมักให้ความไว้วางใจและคลิกเข้าชมมากกว่า การมีอันดับเว็บไซต์ที่ดีในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกนำมาซึ่งทราฟฟิกคุณภาพสูงที่เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
การทำ SEO มีองค์ประกอบอะไรบ้าง?
- On-page SEO: การปรับปรุงเนื้อหาและโค้ดภายในเว็บไซต์ของคุณ เช่น การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมในหัวข้อ เนื้อหา และ Meta Tags การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน
- Off-page SEO: กิจกรรมที่เกิดขึ้นภายนอกเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและอำนาจของเว็บไซต์ เช่น Backlinks (ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ) การกล่าวถึงแบรนด์บนช่องทางต่างๆ
- Technical SEO: การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคของเว็บไซต์ เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึง ทำความเข้าใจ และจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ การรองรับการแสดงผลบนมือถือ (mobile-friendliness) และโครงสร้างเว็บไซต์ที่เอื้อต่อการรวบรวมข้อมูล (crawlability)
ทำ SEO ใช้เวลานานแค่ไหน?
- การทำ SEO เป็น Long-term strategy (กลยุทธ์ระยะยาว) ผลลัพธ์อาจไม่เกิดขึ้นทันที มักต้องใช้เวลาหลายเดือน หรือเป็นปีกว่าที่คุณจะเห็นอันดับที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับแล้ว ทราฟฟิกที่เข้ามาจะเป็นทราฟฟิกคุณภาพสูงที่ยั่งยืน
ข้อดีของการทำ SEO คืออะไร?
- Cost-Effective ในระยะยาว: แม้จะมีการลงทุนในการทำเนื้อหา ปรับปรุงเว็บไซต์ และสร้าง Backlinks แต่เมื่อเทียบกับทราฟฟิกที่ได้รับในระยะยาว Cost per click หรือ per visitor มักจะต่ำกว่าการซื้อโฆษณา
- สร้างความน่าเชื่อถือ: ผู้ใช้งานมักจะมองว่าเว็บไซต์ที่ปรากฏในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
- ทราฟฟิกคุณภาพสูงและยั่งยืน: การติดอันดับในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ นำมาซึ่งผู้ใช้งานที่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอย่างแท้จริง และทราฟฟิกนี้จะคงอยู่ตราบเท่าที่เว็บไซต์ของคุณยังคงติดอันดับ
- ขยายการมองเห็น: ช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงผู้ใช้งานที่กำลังค้นหาสิ่งที่คุณนำเสนออยู่
SEM คืออะไร?
SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing หรือ การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา เป็นคำที่ครอบคลุมกลยุทธ์ทางการตลาดทั้งหมดที่ใช้เพื่อเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs – Search Engine Results Pages) ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว SEM จะ ครอบคลุมทั้งการทำ SEO (การค้นหาแบบออร์แกนิก) และ Paid Search (การค้นหาแบบเสียเงิน)
อย่างไรก็ตาม ในการพูดคุยและการใช้งานทั่วไป หลายครั้งคนมักจะ ใช้คำว่า SEM แทนความหมายของการทำ Paid Search หรือ PPC (Pay-Per-Click) โดยเฉพาะ ในบริบทนี้ เราจะเน้นอธิบาย SEM ในความหมายที่แคบกว่า คือ การทำ Paid Search ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM ที่เห็นได้ชัด
Paid Search / PPC คืออะไร?
PPC ย่อมาจาก Pay-Per-Click เป็นโมเดลโฆษณาออนไลน์ที่ผู้ลงโฆษณาจะเสียค่าใช้จ่ายก็ต่อเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาของตน Google Ads เป็นแพลตฟอร์ม Paid Search ที่ได้รับความนิยมและถูกใช้งานมากที่สุด
การทำ SEM (Paid Search) ทำงานอย่างไร?
- PPC (จ่ายต่อคลิก): คุณจะทำการประมูล (bid) บนคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้อาจพิมพ์ค้นหา เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำนั้น โฆษณาของคุณอาจปรากฏขึ้น และคุณจะจ่ายเงินก็ต่อเมื่อผู้ใช้คลิกที่โฆษณาของคุณเท่านั้น
- แพลตฟอร์ม: แพลตฟอร์มที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับ SEM (การค้นหาที่ต้องชำระเงิน) คือ Google Ads (Google Ads คืออะไร?) แพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Bing Ads ก็มีเช่นกัน แต่ Google มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด
- กระบวนการ: ประกอบด้วยการค้นคว้าคำค้นหา (keyword research), การเขียนข้อความโฆษณาที่น่าสนใจ, การตั้งงบประมาณ, การเลือกกลยุทธ์การประมูล (bidding strategy) และการกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง
เป้าหมายของการทำ SEM (Paid Search) คือ การได้มาซึ่ง Immediate visibility (การมองเห็นทันที) ในอันดับต้นๆ ของหน้าผลการค้นหา โดยมักจะปรากฏเหนือผลการค้นหาแบบออร์แกนิก และมีการระบุว่าเป็น “Ad” หรือ “Sponsored”
ข้อดีของการทำ SEM (Paid Search) คืออะไร?
- ผลลัพธ์รวดเร็ว: โฆษณาของคุณสามารถปรากฏในอันดับต้นๆ ของหน้าผลลัพธ์ได้ทันทีหลังจากที่ตั้งค่าแคมเปญและได้รับการอนุมัติ
- ควบคุมได้: คุณสามารถควบคุมงบประมาณ การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย คีย์เวิร์ดที่ใช้ และข้อความโฆษณาได้อย่างเต็มที่
- วัดผลได้ชัดเจน: แพลตฟอร์มโฆษณามีเครื่องมือที่ช่วยให้คุณติดตามผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ เช่น จำนวนคลิก (Clicks), จำนวนการแสดงผล (Impressions), อัตราการคลิก (CTR), และ Conversion
- มีความยืดหยุ่นสูง: สามารถปรับเปลี่ยนแคมเปญ งบประมาณ หรือหยุดโฆษณาได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการหรือสถานการณ์
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง SEO และ SEM
เมื่อเข้าใจนิยามของทั้ง SEO และ SEM (ในความหมายที่แคบ คือ Paid Search) แล้ว ก็จะเห็น ความแตกต่าง SEO SEM ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้กลยุทธ์ไหน หรือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมอย่างชัดเจน ลองดู เปรียบเทียบ SEO SEM ในประเด็นหลักๆ ดังนี้
คุณสมบัติ | SEO (Search Engine Optimization) | SEM (Paid Search / PPC) |
วิธีการ | ปรับเนื้อหา ด้านเทคนิค และสร้างความน่าเชื่อถือ (แบบออร์แกนิก) | ประมูลคีย์เวิร์ด สร้างโฆษณา ตั้งงบประมาณ (แบบชำระเงิน) |
ค่าใช้จ่าย | ไม่มีค่าใช้จ่ายต่อคลิกโดยตรง; ต้องลงทุนด้านเวลา เนื้อหา งานเทคนิค และการสร้างลิงก์ | มีค่าใช้จ่ายต่อคลิกหรือการแสดงผลโดยตรง (PPC) |
ระยะเวลาเห็นผล | ระยะยาว (หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน) | เห็นผลทันที (ทันทีที่แคมเปญออนไลน์) |
การควบคุม (Control) | ควบคุมปัจจัยการจัดอันดับและระยะเวลาได้ไม่เต็มที่ | ควบคุมการแสดงโฆษณา งบประมาณ คีย์เวิร์ด และกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ |
การมองเห็น | ปรากฏในส่วนผลการค้นหาแบบออร์แกนิก | ปรากฏในตำแหน่งโฆษณาที่เด่นชัด |
ความยั่งยืน | มีศักยภาพในการรับทราฟฟิกระยะยาว; อันดับสามารถคงอยู่ได้นาน | ทราฟฟิกจะหยุดทันทีเมื่อใช้งบประมาณหมด |
เป้าหมาย | สร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มอำนาจในวงการ และดึงทราฟฟิกแบบยั่งยืน | ดึงดูดทราฟฟิกแบบเจาะจงทันที เพื่อสร้างยอดขายหรือผู้ติดตามอย่างรวดเร็ว |
ลักษณะ | การมองเห็นที่ได้มา (Earned visibility) | การมองเห็นที่ซื้อมา (Bought visibility) |
ทำไมต้องทำทั้ง SEO และ SEM? (หรือเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ไหม?)
คำถามที่พบบ่อยคือ ควรเลือกทำ SEO หรือ SEM ดี? คำตอบสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่คือ กลยุทธ์ทั้งสองอย่างนี้ SEO และ SEM ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในภาพรวมของ กลยุทธ์ SEO SEM
ลองนึกภาพว่า SERP คือพื้นที่โฆษณาขนาดใหญ่ การปรากฏตัวทั้งในส่วนของโฆษณา (SEM) และผลการค้นหาแบบออร์แกนิก (SEO) จะช่วยเพิ่มการมองเห็นของแบรนด์คุณได้อย่างมหาศาล (SERP Dominance) ทำให้ผู้ใช้งานมีโอกาสเห็นและคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น
การทำงานร่วมกันของ SEO และ SEM
- SEM เพื่อผลลัพธ์ทันที, SEO เพื่อความยั่งยืน: SEM ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ SEO กำลังสร้างอันดับในระยะยาว เมื่อ SEO เริ่มเห็นผล ก็สามารถลดการพึ่งพา SEM ในคีย์เวิร์ดเหล่านั้นได้
- ข้อมูลจาก SEM เป็นประโยชน์ต่อ SEO: คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำ Paid Search (วัดจาก CTR และ Conversion) สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อปรับปรุงหรือสร้างเนื้อหาใหม่สำหรับการทำ SEO ได้
- SEO ช่วยลดต้นทุน SEM: การมีเว็บไซต์ที่มีคุณภาพดี ปรับปรุง SEO ได้อย่างเหมาะสม (เช่น โหลดเร็ว, เนื้อหาเกี่ยวข้อง) สามารถช่วยเพิ่ม Quality Score ใน Google Ads ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนต่อคลิก (CPC) ของ SEM ลดลง
- ทดสอบคีย์เวิร์ดและข้อความโฆษณาด้วย SEM: คุณสามารถใช้ SEM เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดและข้อความโฆษณาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะนำไปใช้ในการทำ SEO
แล้วควรเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ไหม?
ในบางกรณี ธุรกิจอาจเลือกที่จะเน้นกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งก่อน ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย งบประมาณ และระยะเวลาที่ต้องการเห็นผล
- ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับ SEO?
- ธุรกิจที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือและ Brand Authority ในระยะยาว
- ธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด แต่สามารถลงทุนเวลาและทรัพยากรในการสร้างเนื้อหาและปรับปรุงเว็บไซต์ได้
- ธุรกิจที่ต้องการทราฟฟิกคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขึ้นกับงบประมาณโฆษณา
- ธุรกิจที่ต้องการเน้นคีย์เวิร์ดแบบ Informational หรือ Long-tail keywords ที่ผู้ใช้งานใช้ค้นหาข้อมูล
- ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับ SEM (Paid Search)?
- ธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เช่น การเปิดตัวสินค้าใหม่ โปรโมชั่น หรือแคมเปญที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากในเวลาจำกัด
- ธุรกิจที่ต้องการทดสอบตลาด ทดสอบคีย์เวิร์ด หรือทดสอบข้อความโฆษณาอย่างรวดเร็ว
- ธุรกิจที่ต้องการควบคุมงบประมาณและกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
- ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นและยังไม่มีอันดับในผลการค้นหาแบบออร์แกนิก
- ธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมีความตั้งใจซื้อสูง (High Commercial Intent Keywords)
มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ (Expert Perspective) ในฐานะ Performance Marketing Agency ที่ รับทำ SEO ConvertCake มองว่าการทำความเข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจของคุณอย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การตัดสินใจว่าจะเน้น SEO, SEM หรือทั้งสองอย่าง ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของเป้าหมายเหล่านั้น เช่น คุณต้องการเพิ่มยอดขายทันที หรือต้องการสร้างฐานลูกค้าในระยะยาว? คุณมีงบประมาณและทรัพยากรเท่าใด? ConvertCake ทำงานโดย Take an owner’s perspective หรือมองธุรกิจของคุณเสมือนเป็นของเราเอง เราจึงสามารถแนะนำ กลยุทธ์ Digital Marketing ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตให้กับคุณได้
สรุป: เลือกกลยุทธ์ที่ใช่เพื่อเพิ่ม Conversion ให้ธุรกิจของคุณ
ในที่สุดแล้ว ทั้ง SEO และ SEM ต่างก็เป็นเครื่องมือสำคัญในโลกของ การตลาดออนไลน์ เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณถูกค้นพบโดยกลุ่มเป้าหมายบนเครื่องมือค้นหา โดย SEO การเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกในระยะยาว โดยไม่เสียค่าคลิก ในข
ณะที่ SEM มีความหมายทั่วไปมักหมายถึง Paid Search หรือ PPC ที่เน้นการซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในอันดับต้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง SEO และ SEM อยู่ที่ ค่าใช้จ่าย (ฟรี vs เสียเงิน), ระยะเวลาที่เห็นผล (ระยะยาว vs ทันที), และรูปแบบการแสดงผลบนหน้า Google (ออร์แกนิก vs โฆษณา) แม้จะมีความแตกต่าง แต่ทั้งสองกลยุทธ์ก็สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างทรงพลัง เพื่อเพิ่มการมองเห็น สร้างทราฟฟิกคุณภาพสูง และที่สำคัญที่สุดคือ เพิ่มยอดขายด้วย SEO SEM หรือการสร้าง Conversion ตามเป้าหมายของธุรกิจคุณ
การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเน้น SEO, SEM หรือการทำทั้งสองอย่างควบคู่กัน จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในกลไกของเครื่องมือค้นหา การวิเคราะห์ตลาด และการวางแผนกลยุทธ์อย่างรอบคอบ หากคุณต้องการผู้ช่วยที่จะทำให้เรื่อง “Conversions a piece of cake!” สำหรับธุรกิจของคุณ
การลงทุนในกลยุทธ์ SEO และ SEM ที่เหมาะสมคือการลงทุนเพื่ออนาคตของธุรกิจคุณ ConvertCake พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ ที่ รับทำ SEO ที่เข้าใจและใส่ใจธุรกิจของคุณ เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของเราเอง เพื่อนำพาธุรกิจของคุณไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกออนไลน์
Related Blogs

Performance Marketing คืออะไร ? สรุปง่ายๆ เข้าใจได้ ใน 3 นาที

9 บริษัทรับทำ Facebook Ads ในประเทศไทย ปี 2026 เพิ่มยอดขายแบบวัดผลได้จริง